คำว่า กิโมโน (Kimono) ถ้าแปลตามตัวแล้วหมายถึง เสื้อผ้า ถือได้ว่าเป็นชุดประจำชาติของญี่ปุ่น สามารถสวมใส่ได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง มีลักษณะพิเศษตรงที่ชายเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า และมีผ้าแพรพันสะเอว (obi) ต่างกับชุดที่เป็นเสื้อผ้าของตะวันตก (yofuku) อย่างชัดเจน
ที่มา : https://image.freepik.com/free-vector/japan-concept-illustration_114360-1739.jpg
ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ
ตั้งแต่สมัยเฮอัน หรือ ค.ศ. 794-1192 (ประมาณ พ.ศ. 1337-1735) ก่อนหน้านั้นซึ่งเป็นสมัยนารา (ค.ศ. 710-794) ชาวญี่ปุ่นนิยมแต่งชุดท่อนบนกับท่อนล่างเหมือนกันหรือไม่ก็เป็นผ้าชิ้นเดียวกันไปเลย พอมาถึงสมัยเฮอันซึ่งถือเป็นช่วงเริ่มต้นการใส่กิโมโน ชาวญี่ปุ่นพัฒนาเทคนิคการตัดเย็บเสื้อผ้าด้วยการตัดผ้าเป็นเส้นตรง เพื่อให้ง่ายต่อการสวมใส่ อีกทั้งยังเป็นที่เหมาะกับทุกสภาพอากาศ ถ้าฤดูหนาวใช้ผ้าหนา ถ้าฤดูร้อนใช้ผ้าบางๆความสะดวกสบายนี้ทำให้ชุดกิโมโนแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ผู้ตัดเย็บจะคิดค้นหาวิธีที่ทำให้ชุดกิโมโนมีสีสันผสมผสานกันด้วยสีต่างๆให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ
ต่อมาในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1600-1868) ในช่วงนี้นักรบซามูไรแต่ละสำนักแต่งตัวแบ่งแยกตามกลุ่มของตัวเอง เรียกว่า ชุดเครื่องแบบ ชุดที่ใส่นี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือชุดกิโมโน ชุดคามิชิโมตัดเย็บด้วยผ้าลินินใส่คลุมชุดกิโมโนเพื่อให้ไหล่ดูตั้ง กางเกงขายาวที่ดูเหมือนชุดกระโปรงแยกชิ้นชุดกิโมโนของซามูไรจำเป็นต้องเนี๊ยบมากนับเป็นผลงานศิลปะอีกชิ้นหนึ่ง
สมัยต่อมาในยุคเมจิ (ค.ศ. 1868- 1912) ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากชาวต่างชาติจึงเริ่มเปลี่ยนไปใส่ชุดสากลมากขึ้น และจะใส่ชุดกิโมโนที่เป็นงานพิธีการเท่านั้น
ที่มา : http://www.wowbestsale.com/attachments/product/images_1-161266.jpg
ในปัจจุบันชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะแต่งกายแบบสากล ผู้ที่สวมกิโมโนในชีวิตประจำวันจะมีเพียงผู้ประกอบอาชีพที่เกี่ยวข้องกับศิลปะญี่ปุ่นแต่โบราณเท่านั้น หรือสวมใส่เฉพาะงานพิธีการต่างๆ เช่น งานแต่งงาน งานปีใหม่ งานฉลองบรรลุนิติภาวะ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถสวมชุดกิโมโนได้เองมีน้อย ถึงขนาดจัดเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งของการเตรียมตัวเพื่อเป็นเจ้าสาว ของสตรีญี่ปุ่น
ที่มา : http://www.majortraveller.com/index.php?lite=article&qid=42184189